บันทึกอนุทิน
วิชา
EAED
4215 Learning Experiences Management in Early Childhood
อาจารย์ผู้สอน
อาจารย์จินตนา สุขสำราญ
วัน/เดือน/ปี
วันที่ 27 เดือนมกราคม พ.ศ.2559
ครั้งที่
3 เวลาเรียน 14.30 น.
เวลาเข้าเรียน
14:30
น.เวลาเลิกเรียน 17.30 น.
Knowledge
อาจารย์ให้นักศึกษานำเสนอการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดของนักทฤษฎีต่างๆสามารถแบ่งได้ดังนี้
1.มอนเตสซอรี่ (Montessori
Method)
2.วอลดอร์ฟ (Waldorf)
3.การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน
(Project
- based Learning : PBL)
4.พหุปัญญา (Multiple
Intelligence)
5.STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics)
6.BBL (Brain-based Learning)
Montessori Method มอนเตสเซอรี่
ทฤษฎีและแนวคิดของมอนเตสซอรี
มอนเตสซอรี
ได้แบ่งระยะการเรียนรู้ที่เหมาะที่สุดของเด็กออกเป็น 6 ระยะ ระยะเหล่านี้เรียกว่า Sensitive
periods
1.ระยะที่หนึ่ง
เป็นระยะที่ซึมซับหรือเรียนรู้ "การรับรู้ทางด้านประสาทสัมผัส" ดีที่สุด
ระยะนี้จะเป็นช่วงอายุตั้งเเต่แรกเกิดถึง 5 ปี ช่วงนี้เด็กควรจะมีโอกาสได้ฝึกประสาทสัมผัสให้มากที่สุด
เด็กที่ขาดโอกาส เช่น ถูกห้ามไม่ให้แตะต้อง หยิบ สัมผัสสิ่งของต่างๆ
จะขาดโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถทางรับรู้ทางประสาทสัมผัส
2.ระยะที่สอง
เป็นระยะที่เรียนรู้ภาษาได้ดีที่สุดจะเป็นช่วงระยะตั้งแต่อายุ 3 เดือน ถึง 5 ปี เด็กจะเรียนจากปฏิกิริยาและสิ่งแวดล้อมและการเลียนแบบ
3.ระยะที่สาม
เป็นระยะที่เรียนรู้ "ระเบียบ"(Order) ดีที่สุดจะเป็นช่วงอายุแรกเกิดถึง 3 ปี ในช่วงปีที่ 2 จะเป็นช่วงสูงสุด ในปีที่ 3 จะค่อยลดลง
การเรียนรู้"ระเบียบ" นี้เด็กจะเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและกิจวัตรที่คงที่สม่ำเสมอ
เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน ตู้เสื้อผ้าจะต้องอยู่คงที่ ถ้ามีการเปลี่ยนที่
เด็กจะรู้สึกสับสน เวลากินอาหาร เวลาเล่น ถ้าสม่ำเสมอ เด็กจะรู้สึกสบายใจ
ใบหน้าของผู้เลี้ยงดูก็จะต้องเป็นใบหน้าเดิม ถ้าการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้เด็กสับสน
พ่อแม่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมลูกจึงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
ซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทำให้เด็กเกิดความสับสน
เพราะฉะนั้นในวัยนี้ผู้เลี้ยงดูจึงต้องพยายามให้มีความคงที่
ในกิจวัตรและสิ่งแวดล้อม
ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงควรหาทางให้เด็กค่อยๆเคยชินการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
4.ระยะที่สี่
เป็นระยะที่เรียนรู้"ของเล็กๆและรายละเอียดย่อยๆ"(tiny
objects and small details) ระยะนี้ได้แก่
ช่วงอายุ 2-3 ปี
ในช่วงนี้เด็กชอบสังเกตสิ่งเล็ก เช่น เวลาพาไปเที่ยวปิกนิกแทนที่เด็กจะสนใจนำตก
แต่กลับสนใจมดเล็กๆที่เดินแถวมาที่โต๊ะอาหาร เวลาดูรูปภาพเด็กก็จะสังเกตเห็นรายละเอียดเช่น
เข็มขัดหรือดาบของนักรบถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมให้เหมาะสมกับระยะ sensitive
period นี้ก็จะช่วยพัฒนาให้เด็กเป็นคนช่างสังเกตมีสมาธิซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ของศาสตร์ต่างๆ
5.ระยะที่ห้า
เป็นระยะที่เรียนรู้ "ความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหว" (co-ordination
of movement) ระยะนี้ได้แก่ ช่วงอายุ 2-4 ปี
วัยนี้เด็กจะเรียนรู้การใช้อวัยวะต่างๆเช่น นิ้ว แขน ปาก ได้อย่างดี
6.ระยะที่หก
เป็นระยะที่เรียนรู้ "ความสัมพันธ์ทางสังคม(Social relations) ได้แก่ ช่วงอายุ 2-5 ปี วัยนี้เด็กจะเริ่มเรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่นและมารยาททางสังคม
ถึงแม้เด็กอายุต่ำกว่า 3
ปี จะมีปกติเล่นตามลำพัง หรือเล่นคู่ขนานกับเพื่อน
แต่วัยนี้เด็กเริ่มเรียนรู้และสนใจผู้อื่น
สนใจที่จะเรียนรู้มายาทและวัฒนธรรมในสังคม
แนวการสอนของมอนเตสเซอรี เน้นความสำคัญของครูมากมอนเซอรี่ กล่าวถึงลักษณะของครูปฐมวัยดังนี้
1.ครูจะต้องมีเจตคติที่ดีต่อเด็ก
รับเด็กอย่างที่เป็น เพื่อให้เด็กสามารถยอมรับตนเอง
2.การสังเกตเด็กของครูถื่อว่าเป็นวิธีการสอน
มอนเตสซอรี่ย้ำถึงความสำคัญของทักษะการสังเกตเด็กของครูมาก
เพราะจากการสังเกตเด็กครูจะสามารถรู้ว่าเด็กต้องการอะไร
ต้องการเรียนรู้เรื่องใดสามารถทำสิ่งใดได้ และมีปัญหาที่ครูจะช่วยได้อย่างไร มอนเตสเซอรีกล่าวว่า
คนที่สังเกตไม่ได้ จะไม่มีทางเป็นครูที่ดีได้เลย
3.ครูให้เด็กมีเสรีในการตัดสินใจ
มีโอกาสเลือก ให้เด็กได้เสี่ยง (take risk)และเรีนนรู้จากความผิดพลาด(mistake)อนึ่งอุปกรณ์ของมอนเตสซอรี
จะช่วยให้เด็กรู้ผลของการกระทำของตนเองและเด็กมีโอกาสได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
4.คูรจัดเตรียมสิ่งแวดล้อม (prepared
environment) ซึ่งจะมีสิ่งของที่พัฒนาทักษะทางด้านกล้ามเนื้อ
การสัมผัส การเคลื่อนไหว ครูจะให้เด็กเลือกและทำงานด้วยตนเอง มอนเตสซอรีพบว่า
เด็กมีสมาธิหรือสามารถนั่งทำงานได้เวลานานเป็นเวลานานในสิ่งที่สนใจ
เด็กชอบความเป็นระเบียบและชอบทำงานมากกว่าเล่น เมื่อเด็กกระทำงานใดเด็กมักจะทำซ้ำๆจนกระทั่งมีความมั่นใจและชำนาญในการกระทำนั้น กิจกรรมที่เด็กกระทำและมอนเตสซอรี่ถือว่าเป็นงาน(work)นั้นเวลากล่าวทั่วๆไป มักจะเรียกว่า
"เล่นเสรี"แต่ในความหมายที่แท้จริงของมอนเตสซอรี่ หมายถึง
"งาน" อุปกรณ์การเรียนของมอนเตสซอรีที่ใช้ฝึกประสาทสัมผัสและความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อของเด็กปฐมวัย
ขณะนี้เป็นที่สนใจของนักวิจัยปัจจุบันที่เน้นความสำคัญของการฝึกประสาทสัมผัสในการพัฒนาการคิดการรู้ของเด็กปฐมวัย
5.การประสบการณ์ให้แก่เด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับพัฒนาการและความต้องการของเด็ก
เด็กจะมีเเรงจูงใจภายในที่จะทำงานให้สำเร็จด้วยตนเอง
การทำได้สำเร็จด้วยตนเองจะเป็นรางวัลภายในของจิตของเด็ก
เพราะฉะนั้นในการสอนของมอนเตสซอรี่ จะเน้นแรงจูงใจจากภา เช่น ยใน
มิใช่แรงจูงใจจากภายนอก เช่น รางวัล หรือดาว
6.การที่เด็กได้ทำงานกับอุปกรณ์ต่างๆนี้
มอนเตสเซอรี่ เชื่อว่าจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็ก
เด็กที่ไม่มีโอกาสทำงานในวัยปฐมวัยนี้จะเติบโตเป็นคนเฉื่อยชา ไม่สนใจในสิ่งใด
และยากต่อการเรียนรู้
สรุป มอนเตสซอรี กล่าวว่า
ในการให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย
เพื่อเป็นพื้นฐานทางจิตใจแก่เด็กในชีวิตอนาคตจะมีหลักวิธีการ 2 ประการ คือ 1.การมีงานทำอย่างเป็นระบบ
(organization
of work) คือ
การจัดอุปกรณ์และกิจกรรมให้เด็กได้ทำงาน ได้พัฒนาการสัมผัส พัฒนาความคิด
เด็กได้ใช้พลังงาน และได้ความพึงพอใจจากการทำงานได้สำเร็จภาวะแห่งความพึงพอใจ
ความสุขที่ทำงานได้สำเร็จ จะทำให้เด็กมีจิตที่มั่นคงและใฝ่รู้ใฝ่เรียน 2.เสรีภาพ (Liberty)
คือ ความอิสระที่จะได้เลือกทำงาน
การมีเสรีภาพ
แต่ไม่มีงานทำอย่างเป็นระบบก็จะไม่มีประโยชน์ในการพัฒนาเด็กประดุจเด็กขาดอาหารจิตก็ไม่สามารถเติบโตได้
หรือการมีงานทำอย่างมีระบบแต่ไม่มีเสรีภาพ
เด็กก็จะไม่ได้พัฒนาสภาพจิตถึงขั้นที่สูงได้
หลักสูตรและวิธีการสอน หลักสูตรของโรงเรียนมอนเตสซอรีจะมี
6 วิชาหลักคือ
1.วิชาภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
(Exercises
of Practical Life) ได้แก่
การฝึกทักษะในชีวิตประจำวัน 3
ด้าน คือ
ก.การดูแลตัวเอง (Self-care)
ได้แก่
การสามารถใส่เสื้อผ้าติดกระดุมได้เอง ล้างมือ แปรงฟันได้
ข.การดูแลสิ่งแวดล้อม (care of
the environment) ได้แก่
การเลื่อนโต๊ะเก้าอี้เบาๆ การกวาดถูทำความสะอาดห้องเรียน การช่วยตักอาหาร
ค.การมีมารยาททางสังคม
เช่น การทักทาย การขอบคุณ การขอโทษ การช่วยเหลือ
การฝึกทักษะในชีวิตประจำวันนี้
อุปกรณ์สิ่งของที่ฝึกจะจัดวางเป็นที่
เมื่อเด็กใช้แล้วจะเก็บที่เดิมเพื่อเด็กคนอื่นจะได้นำมาใช้ต่ออีก
เพราะฉะนั้นจึงเน้นความเป็นระเบียบ และการที่เด็กต้องฝึกทักษะก็ได้มีโอกาสคิดแก้ปัญหา
และการได้พัฒนากล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว อนึ่ง เวลาทำงานเด็กก็ได้ฝึกสมาธิ
และการปฏิบัติดูแลตนเองและสิ่งแวดล้อมก็ช่วยให้เด็กสามารถพึ่งตนเองได้
2.วิชาพัฒนากล้ามเนื้อ (Muscular
education) ได้แก่ การฝึกทางกายพัฒนา
ทางการเคลื่อนไหว เช่น การเดิน การวิ่ง การทรงตัว รวมทั้งการฝึกหายใจ การฝึกเปล่งเสียง
การทำสวน (gardening) ของเด็กก็ถือเป็นการออกกำลังฝึกกล้ามเนื้อใหญ่
3.วิชาพัฒนาประสาทสัมผัส (Education
of the senses) มอนเตสซอรี่ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์เป็นจำนวนมาก
สำหรับฝึกประสาทสัมผัสซึ่งมอนเตสซอรี่ถื่อว่าเป็นการพัฒนาสมองด้วย
ซึ่งตรงกัลผลงานวิจัยเรื่องสมองเกี่ยวกับสมองในปัจจุบัน แสดงว่ามอนเตสซอรี่เป็นผู้ลำยุคในเรื่องนี้ อุปกรณ์ที่มอนเดสซอรี่ประดิษฐ์ขึ้นจะมีการฝึกประสาทสัมผัสทั้งการดู
การฟัง การสัมผัส การดม อุปกรณ์ที่ใช้มีแผ่นไม้ขรุขระ แผ่นไม้เรียบ
กล่องและขวดบรรจุของมีกลิ่น บล็อกขนาดต่างๆ เป็นต้น
4.วิชาภาษา (Language
Activities) อันได้แก่
การอ่านและการเขียน มอนเตสเซีอรพบว่า เด็กเขียนก่อนอ่าน
และเด็กฝึกเขียนจากประสาทสัมผัส เช่น
การสัมผัสตัวหนังสือบนกระดาษทรายและการอ่านจากบัตรคำ มอนเตสเซอรี กล่าวว่า
เดิมมิได้ตั้งใจจะให้เด็กอ่านเขียนในวัย 4
ขวบ หรือวัยปฐมวัย แต่เด็กมีความสนใจที่จะรู้และเรียนมอนเตสเซอรีจึงจัดสอนให้
และเด็กสามารถเรียนได้
5.วิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics
Activities) เด็กเรียนรู้จำนวนและตัวเลขจากสิ่งของ
ของจริง และการสัมผัส
6.วิชาวัฒนธรรม (Culture
Activities) ได้ความรู้ในเรื่องของภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่อยู่รอบตัวเด็ก
(Gettman,1987;Patterson,1977)
แนวการสอนของมอนเตสซอรี
เน้นให้เป็นไปตามพัฒนาการและความต้องการของเด็ก โดยมอนเตสซอรีมีความเห็นว่า
เด็กวัย 0-6 ปี
หรือปฐมวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีจิตที่ตื่นตัว (active) อย่างมากในการที่จะเรียนรู้ซึมซับจากสิ่งแวดล้อม
เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่แวดล้อมเด็กหรือผู้ดูแลเด็กควรมีสัมพันธภาพที่ดีต่อเด็ก
มีความรัก
เอื้ออาทรและในขณะเดียวกันให้ความเคราพในเอกัตภาพของเด็กโดยให้โอกาสเด็กในการเลือกให้เด็กมีเสรีภาพ
นอกจากนี้เด้กควรจะได้พัฒนาประสาทสัมผัสการเคลื่อนไหวโดยได้มีการหยิบจับกระทำ
เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้ (Independence) อุปกรณ์ในการฝึกประสาทสัมผัสของมอนเตสซอรีที่เรียกว่า didactic
apparatus มีชื่อเสียงมาก
มอนเตสซอรีเชื่อว่าเด็กปฐมวัยชอบความมีระเบียบ
มอนเตสซอรีจึงเน้นการเตรียมการสอนของครูให้เป็นไปตามขั้นตอน
การสอนของมอนเตสซอรีจะเน้นการเรียนรู้เป็นรายบุคคล
โดยเด็กจะฝึกกระทำกับอุปกรณ์ที่เตรียมไว้เป็นรายบุคคล
แต่การแนะนำการใช้อาจจะเริ่มจากกลุ่มเล็กๆก่อน
นอกจากนี้มอนเตสเซอรี่เน้นการที่ให้เด็กเลือกทำกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง
เพื่อเป้นการฝึกการคิดริเริ่มด้วยตนเอง และความสามารถในการนำทางตนเองได้ (individual
initiative and self-direction)
มอนเตสซอรีเชื่อว่าเด็กมีจิตที่อยากรู้ อยากทำได้
เพราะฉะนั้นอุปกรณ์การสอนของมอนเตสซอรีจะเปิดโอกาสให้เด็กฝึกทำ ลองผิดลองถูก
ไม่กลัวผิด กล้าเสี่ยง และเมื่อเด็กทำได้เด็กจะรู้สึกพอใจ และเป็นรางวัลภายในตนเอง
การสอนของมอนเตสซอรี่จึงไม่มีการให้คะเเนนให้ดาว ซึ่งเป็นสิ่งเร้าภายนอก
แต่ให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำได้เอง
มอนเตสซอรีไม่เน้นบทบาทเรื่องการสอนของครู
แต่เน้นบทบาทในการสังเกต อำนวยความสะดวกจัดอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับเด็ก
ถ้าจะช่วยเด็กก็ต้องช่วยชนิดที่ให้เด็กช่วยตัวเองได้
มอนเตสซอรีมีความเชื่อมั่นจิตที่ตื่นตัวที่จะเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมาก
ถึงกล่าวว่าเด็กที่มีปัญหาต่างๆ เช่น ดื้อ ซนอยู่ไม่สุขก้าวร้าวนั้นเป็นเพราะเด็กมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เด็กต้องการทำ
คือ การได้เคลื่อนไหว การฝึกประสาทสัมผัส ความภาคภูมิใจที่ทำได้
เมื่อเด็กไม่มีโอกาสทำตามที่ธรรมชาติของเด็กต้องการเด็กก็จะมีกิริยาก้าวร้าวหรือมีปัญหาต่างๆ
มอนเตสซอรีเชื่อว่า ถ้าจัดประสบการณ์การเรียนให้เหมาะสมกับความต้องการทางจิตที่จะเรียนรู้ของเด็กแล้ว
เด็กจะไม่มีปัญหาทางวินัย
และจะเติบโตเป็นบุคคลที่มีความมั่งคงทางจิตใจพึ่งตนเองได้และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ชไวฮาร์ต (Schweinhart,1988)
ได้เปรียบเทียบ
หลักสูตรการจัดประสบการณ์ในชั้นปฐมวัยของแนวการสอน 4 แบบ ที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ คือ
1.แบบวินิจฉัยและแก้ไข (Diagnostic
and Prescriptive)
2.แบบครูสอนโดยตรง (Direct
Instruction)
3.แบบไฮโคป (High
Scope)
4.แบบมอนเตสซอรี (Montessori)
Waldorf วอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ(
Waldorf Method)
การศึกษาปฐมวัย เป็นการศึกษาที่จัดให้แก่เด็กปฐมวัย
ลักษณะของการจัดการศึกษาเน้นการดูแลควบคู่ไปกับการให้การศึกษา รูปแบบการเรียนการสอนแต่ละรูปแบบมีจุดเด่นเฉพาะของรูปแบบที่ครูสามารถเลือกใช้หรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนและชั้นเรียนของตน จุดสำคัญของการใช้รูปแบบอยู่ที่ครูเข้าใจมโนทัศน์ของรูปแบบ แนวคิดพื้นฐาน
หลักการสอน
วิธีจัดการเรียนการสอน การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ บทบาทครู
แนวคิดพื้นฐาน
การเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟอยู่บนพื้นฐานที่ว่าการเรียนรู้ของคนเกิดจากความสมดุลของความคิด ความรู้สึก
และเจตจำนงของคน ๆ นั้น
หากเด็กได้อยู่ในบรรยากาศแห่งความต้องการ
ความรู้สึกสบายใจ ความผ่อนคลาย
เด็กจะถ่ายทอดความคิดและการเรียนรู้อย่างแยบคลายร่วมไปกับการทำกิจกรรมที่เขากระทำอยู่
รูดอล์ฟ สไตเนอร์
( Rudolf Stiner , 1861 – 1925 )
ได้จัดตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟ ( Waldorf
School ) แห่งแรกขึ้นที่สตุทการ์ต
ประเทศเยอรมนี
เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1919
โดยมีความเชื่อว่าการศึกษาคือการช่วยคนให้ดำเนินวิถีชีวิตแห่งตนที่ถูกต้องตามธรรมชาติ
ด้วยการให้เด็กทำกิจกรรมมีครูและผู้ปกครองเป็นผู้ป้องกันเด็กจากการรบกวนของโลกสมัยใหม่และเทคโนโลยี สิ่งที่เด็กสัมผัสต้องเป็นธรรมชาติที่บริสุทธ์
แนวคิดของสไตเนอร์เน้นการเรียนรู้ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ
เพราะสไตเนอร์เชื่อว่าเด็กสามารถพัฒนาศักยภาพแห่งตนได้ภายใต้การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ต้องตกแต่งการสอนของครู ต้องเป็นการสร้างการเรียนรู้อย่างนุ่มนวลและแทรกซึมไปกับความรู้สึกของเด็กตามธรรมชาติโดยไม่ต้องสัมผัสกับเทคโนโลยี
หลักการสอน
หัวใจของการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ คือ
การสร้างความสมดุลของจิตมนุษย์ 3
ประการ ได้แก่ ความคิด
ความรู้สึก และการกระทำ โดยไม่มีการรบกวนจากเทคโนโลยีภายนอก
ความสงบทางจิตใจจะช่วยให้เด็กเรียนรู้จากการใช้วินัยในตนเอง
วิธีจัดการเรียนการสอน
การเรียนการสอนตามแบบวอลดอร์ฟเป็นวิธีการตามแบบธรรมชาติ
เป็นไปตามบรรยากาศของชุมชนและตารางกิจกรรมประจำวัน
ที่ครูและผู้เรียนจะเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจของเด็ก
วิธีการจัดการเรียนการสอนจะเป็นการจัดกระทำทั้งระบบตั้งแต่บรรยากาศของโรงเรียน
สิ่งแวดล้อมและห้องเรียนต้องเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ รวมถึงการจัดการเรียนการสอนของครู
ในขั้นตอนการสอนของครูจะมีลักษณะเฉพาะต่างจากการเรียนการสอนแบบอื่น ๆ ตรงที่การกระตุ้นการเรียนรู้เริ่มจากการแสดงแบบให้เด็กเห็นตามบรรยากาศที่จูงใจ
การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
การเรียนรู้ของวอลดอร์ฟมาจากการซึมซับด้วยการสืบสานโดยตามธรรมชาติและตามธรรมชาติที่หล่อหลอมเข้าภายในตัวเด็กทั้งกายและจิตวิญญาณ
บรรยากาศการเรียนรู้รอบตัวเด็กทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนหรือกลางแจ้งต้องเป็นบรรยากาศที่งดงามตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ประกอบด้วยความสงบและอ่อนโยน
ครูมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมเรียนรู้และการใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติของเด็ก
งานของครูที่โรงเรียนคือการจัดการเรียนการสอนด้วยการเป็นตัวอย่าง การจัดสิ่งแวดล้อมที่มีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย
ในขณะเดียวกันครูต้องเป็นผู้เชื่อมสานงานโรงเรียนสู่บ้านเพื่อสานภารกิจการสร้างพลังการเรียนรู้อย่างธรรมชาติให้เกิดขึ้นกับเด็ก
ครูต้องทำหน้าที่ในการติดตามประเมินผลความเจริญก้าวหน้าของเด็กในการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล
ครูมิใช่เป็นเพียงผู้ที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ แต่ครูจะถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก
ความมุ่งมั่นและความรักอย่างแท้จริงให้กับเด็กเพื่อให้เด็กได้พบโอกาสของการพัฒนาศักยภาพภายในตนเองได้มากที่สุดและเต็มศักยภาพ
สรุป
ข้อดีของการเรียนการสอนตามแบบวอลดอร์ฟ ได้แก่
การใช้วิถีธรรมชาติเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นสะระหนึ่งที่สำคัญซึ่งครูสามารถนำไปประยุกต์สู่การสอนตามปกติได้ การใช้สื่อการเรียนรู้ธรรมชาติที่ไม่ใช้อุปกรณ์สำเร็จรูปสามารถสร้างเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กมากกว่า ครูควรให้ความสนใจกับการใช้อุปกรณ์ธรรมชาติให้เด็กได้สัมผัสและนำมาสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วนตนเอง
โรงเรียนแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ
Waldorf หนึ่งในโรงเรียนทางเลือก
ที่อยู่ความสนใจของผู้ปกครอง และกำลังมองหาโรงเรียนแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟอยู่
มาทำความรู้จักกับแนวคิด หลักสูตร
รูปแบบการเรียนการสอนของโรงเรียนแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ
และที่สำคัญคือลูกจะได้อะไรจากการเรียนในโรงเรียนแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟกันบ้าง
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ
เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ
โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก
เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน
โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อม
และได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวตามมนุษยปรัชญา
เพื่อพัฒนามนุษย์ให้ได้ถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ
ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง
การศึกษาแนววอลดอร์ฟนี้จึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล
โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ
เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย
ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
โรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟจะสอนตามพัฒนาการของเด็ก
โดยเฉพาะวัย 0-7
ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วนต่างๆ
เด็กจะได้เป็นผู้ลงมือกระทำ ได้แสดงออกเพื่อฝึกการคิดและจินตนาการทั้งในวิชาทางด้านศิลปะ
ดนตรี การวาดเขียน และในงานภาคปฏิบัติอื่นๆ
สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ
"จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น
แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม
และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา
ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ
ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้
ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ
ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี
ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
จะคิดฝันให่ออกมาเป็นอะไร หรือกำลังเล่นอะไร เช่น การวาดรูปด้วยสีน้ำ
ปั้นดินเหนียว ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร งานฝีมือ ล้างจาน เป็นต้น
กิจกรรมที่อยู่ในโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟเหล่านี้จะทำให้เด็กเห็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง
ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้เข้าใจแนวทางพื้นฐานในการปรับตัวเข้ากับชีวิต
และกระตุ้นความร่วมมือของเด็ก
การเรียนรู้ทุกอย่างจึงต้องเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนกับเป็นประสบการณ์จริง
ได้สนใจหลายๆ ด้าน เด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายสามารถได้ทำทุกอย่าง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับเด็ก
ครูผู้ดูแลต้องใส่ใจในรายละเอียด
เพราะกิจกรรมแต่ละตัว เด็กอาจมีวิธีการของเขาเอง
ครูไม่สามารถปิดกั้นว่าเขาต้องทำตาม
ซึ่งหากทำได้แบบนี้จะส่งผลให้เด็กได้รู้จักคิดพลิกแพลง
ยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ทั้งในเชิงความคิด และวิธีการมองปัญหา
เด็กๆ ของโรงเรียนวอลดอร์ฟมักจะได้ลงมือทำกิจกรรมมากที่สุดเพราะเป็นวิธีเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม
ดีกว่าที่ครูจะมาพูดปากเปล่า เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจึงค่อยมาสรุปเป็นแนวคิด เช่น
ให้ลงมือทำขนมปังเอง เด็กทุกคนจะเห็นกระบวนการตั้งแต่แรก
ที่มาที่ไปว่าแป้งมาจากไหน เริ่มจากข้าวเปลือก ได้สีเมล็ดข้าวเองด้วยเครื่องสีข้าว
ได้โม่ข้าวด้วยเครื่องโม่ พอเป็นแป้งแล้วก็นำไปนวด นำไปอบเป็นขนมปัง
แต่ละขั้นตอนสะท้อนให้เห็นความละเอียดอ่อนของจิตใจมากกว่าที่จะใช้วิธีพูดสอน
การได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
จะเป็นการสร้างความอดทนและปลูกฝังให้เด็กสำนึกในบุญคุณต่อสิ่งที่ได้รับจากธรรมชาติและมนุษย์
แทนที่จะบริโภคอย่างฉาบฉวย ก็จะเห็นคุณค่าของการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์
นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า
สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ
ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย
ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล
แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง
ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน
และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็ก เด็กจะมีพลัง ตื่นตัว
และมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม
ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป
เด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุล
โดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ)
และสมอง(ความคิด)
การเรียนการสอนในแนววอลดอร์ฟนี้
เป็นการสอนเพื่อพัฒนามนุษย์ให้ได้ถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
การนำวิธีการสอนแบบวอล์ดอร์ฟจำเป็นต้องนำทั้งระบบการศึกษาไปใช้ควบคู่กับรูปแบบ
ดังนั้นพ่อแม่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของสถานศึกษาอย่างรอบคอบก่อนส่งลูกไปเรียนด้วย
ตัวอย่างโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนปัญโญทัย
199 ถ.สุขาภิบาล 5 ซอย 32 (แยก10) แขวงออเงิน เขตสายไหม
กทม. 10220
โทร: 02-7920670,
02-7920672 โทรสาร: 02-7920672
Email: waldorfthai@hotmail.com Website:
http://www.panyotai.com/students_th.html
อนุบาลบ้านรัก
29 ซอยแสงจันทร์
ถนนสุขุมวิท 40 ก.ท.ม.10110
โทร.02-3928807,
02-3820069 โทรสาร 381-4269
Website: http://www.baanrakk.th.edu/index.htm
บ้านฝันดีเนอสเซอรี่
จ.สุรินทร์
280/11 ถ.กรุงศรีนอก
ตรงข้ามทางเข้าวัดพรหมสุรินทร์
โทร. 044-520845 หรือ 08-7905876
อนุบาลฟ้ากว้าง เชียงใหม่
Website: http://www.fahkwang.com/kindergarten.php
โรงเรียนสาธิตปฐมวัย
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (หลักสูตรเตรียมอนุบาล 2 ขวบ)
21 หมู่ 6 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง
จังหวัดภูเก็ต 83000
โทรศัพท์ 076-211959 ต่อ 217/211 โทรสาร 076-211778
Email: PKRUsathit@gmail.com
พหุปัญญา
(Multiple
Intelligence)
ความหมาย
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญา
ทิศนา แขมมณี (2545 :
85) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญาว่า
ผู้บุกเบิกทฤษฎีการสอนแบบนี้ คือ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard
University) โดยเขาได้เขียนหนังสือเรื่อง
“Frames
of Mind : The Theory of Multiple Intelligences” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
แนวคิดของเขาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกี่ยวกับ “เชาวน์ปัญญา” เป็นอย่างมาก
และกลายเป็นทฤษฎีที่กำลังมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน
ในปัจจุบัน
ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาแบบเดิมนั้น
มักจะเน้นความสามารถในเชิงภาษา คณิตศาสตร์ และความคิดเชิงตรรกะ
ดังจะเห็นได้จากการสอบคัดเลือกทั่วไป
ทั้งวิชาวัดแววความเป็นครูในการสอบแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย หรือ
ข้อสอบบรรจุเข้ารับราชการ มักจะเน้นองค์ประกอบ 3 ด้านนี้เป็นหลัก และถือว่าเป็นสิ่งกำหนดระดับเชาวน์ปัญญาของบุคคลไปตลอดชีวิต
เพราะทฤษฎีเดิมถือว่า เชาวน์ปัญญาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต แต่การ์ดเนอร์
ได้ให้ความหมายของเชาวน์ปัญญาใหม่ว่า (Gardner. 1983 อ้างใน ทิศนา แขมมณี. 2545 :
86)
“ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่างๆ
หรือการ
สร้างสรรค์ผลงานต่างๆ
ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมใน
แต่ละแห่ง
รวมทั้งความสามารถในการตั้งปัญหาเพื่อจะหาคำตอบและ
เพิ่มพูนความรู้”
การ์ดเนอร์นั้น
มีความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับสติปัญญาที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1.เชาวน์ปัญญาของบุคคลมิได้มีเพียงความสามารถทางภาษา
และทางคณิตศาสตร์เท่า นั้น แต่มีอยู่อย่างหลากหลายถึง 8 ประเภทด้วยกัน (ดังจะได้กล่าวต่อไป)
แต่การ์ดเนอร์เองก็กล่าวว่าอาจจะมีมากกว่า 8
ประเภท โดยคนแต่ละคนจะมีความสามารถเฉพาะด้านแตกต่างกันไป
ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถที่แตกต่างกันออกไปนี้
เมื่อผสมผสานออกมาแล้วจะก่อให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัวบุคคล
2.เชาวน์ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่มั่นคงถาวรตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
หากแต่สามารถเปลี่ยน แปลงได้ตามสภาพแวดล้อม และการส่งเสริมที่เหมาะสม
การ์ดเนอร์เองได้อธิบายถึงเชาวน์ปัญญาไว้ว่า
ประกอบด้วยความสามารถ 3
ประการ ได้แก่
1.ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพการณ์ต่างๆ
ที่เป็นไปตามธรรมชาติ และตามบริบททางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล
2.ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพ
และสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรม
3.ความสามารถในการแสวงหาหรือตั้งปัญหาเพื่อหาคำตอบและเพิ่มพูนความรู้
องค์ประกอบของทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญา
(เชาวน์ปัญญา 8 ด้าน)
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า
การ์ดเนอร์ ได้เสนอว่าเชาวน์ปัญญาของบุคคลไว้ 8 ด้าน โดย พงษ์ศักดิ์ แป้นแก้ว (2546 : 109 – 114) ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดดังนี้
1.สติปัญญาด้านภาษา (Linguistic
Intelligence)
สติปัญญาด้านภาษา
เป็นความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยคำภาษาที่แสดงออกในการสื่อความหมาย โดยมีสมองส่วน Brocals
Area ซึ่งเป็นสมองส่วนหน้า ควบคุมการเรียบเรียงประโยคออกมาเป็นประโยคที่สื่อความตามหลักภาษา
หากสมองส่วนนี้อาจจะทำให้สื่อสารกับผู้อื่นไม่รู้เรื่อง
แต่ยังฟังหรืออ่านสิ่งต่างๆ แล้วเข้าใจได้อยู่
2.สติปัญญาในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์
(Logical–Mathematical
Intelligence)
สติปัญญาในด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์
และด้านภาษาที่กล่าวไปข้างต้น มักจะถือว่าเป็นสติปัญญาขั้นทั่วไปของมนุษย์
มักจะวัดผ่านแบบทดสอบต่างๆ
เชาวน์ปัญญาในด้านนี้มีสมองส่วนควบคุมกลไกในการแก้ปัญหาในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
และการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การ์ดเนอร์กล่าวถึงสติปัญญาในด้านนี้ว่า มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ
1.ด้านการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ (mathmatics)
2.ด้านวิทยาศาสตร์ (Science)
3.ด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logic)
3.สติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ
(Bodily
– Kinesthetic Intelligence)
สติปัญญาในด้านนี้เป็นความสามารถในการใช้ส่วนของร่างกายเพื่อการแสดงออก
สร้าง สรรค์ หรือสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่ว
ผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาในด้านนี้จะมีสมองส่วนที่เรียกว่า Cortex โดยสมองส่วนหนึ่งจะเป็นหลักในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อีกด้านหนึ่งไขว้กัน (ขวาควบคุมซ้าย ซ้ายควบคุมขวา)
คนที่ถนัดขวาจะมีการพัฒนาที่ชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก
4.สติปัญญาด้านการมองเห็นและมิติสัมพันธ์
(Visual/Spatial
Intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองซีกขวา
และแสดงออกทางความสามารถด้านศิลปะ การวาดภาพ การสร้างภาพ การคิดเป็นภาพ
การเห็นรายละเอียด การใช้สี การสร้างสรรค์งานต่าง ๆ
และมักจะเป็นผู้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาในมโนภาพ
เชาวน์ปัญญาในด้านนี้เป็นเชาวน์ปัญญาที่มนุษย์มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
เพราะมนุษย์วาดภาพเพื่อสื่อสารความหมายมาตั้งแต่สมัยนั้น
5 .สติปัญญาด้านดนตรี
(Musical
Intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองซีกขวาตอนบน
บุคคลที่มีสติปัญญาทางด้านนี้ จะแสดงออกทางความสามารถในด้านจังหวะ การร้องเพลง
การฟังเพลงและดนตรี การแต่งเพลง การเต้น
และมีความไวต่อการรับรู้เสียงและจังหวะต่างๆ
โดยที่บางครั้งอาจดูเหมือนไม่มีความสามารถ เช่น เล่นเปียโนได้
แต่ไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้ หรือ บางครั้งในการเรียนทฤษฎีดนตรี
อาจจะสอบตก แต่ร้องเพลงได้ไพเราะ เป็นต้น
6.สติปัญญาด้านการเข้ากับผู้อื่น
(Interpersonal
Intelligence)
เชาว์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองส่วนหน้า
หากสมองด้านนี้ถูกทำลายจะทำให้เกิดปัญหาในการเข้าสังคม
ความสามารถที่แสดงออกทางด้านนี้ เห็นได้จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
การทำงานกับผู้อื่น การเข้าใจและเคารพผู้อื่น การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
และการจัดระเบียบ ผู้มีความสามารถทางด้านนี้ มักเป็นผู้ที่มีความไวต่อความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
7.สติปัญญาด้านการรู้จักและเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal
Intelligence)
บุคคลที่สามารถในการเข้าใจตนเอง
มักเป็นคนที่ชอบคิด พิจารณาไตร่ตรอง มองตนเอง
และทำความเข้าใจถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง
มักเป็นคนที่มั่นคงในความคิดความเชื่อต่าง ๆ
จะทำอะไรมักต้องการเวลาในการคิดไตร่ตรอง และชอบที่จะคิดคนเดียว ชอบความเงียบสงบ
สติปัญญาทางด้านนี้ มักเกิดร่วมกับสติปัญญาด้านอื่น
มีลักษณะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชาว์ปัญญา อย่างน้อย 2 ด้านขึ้นไป ผู้ที่ไม่มีสติปัญญาในด้านนี้
มักจะมีบุคลิกเฉื่อยชา เชื่องช้า ไม่ยินดียินร้ายและเศร้าซึม
8.สติปัญญาด้านการเป็นนักธรรมชาติวิทยา
(Nationalism
Intelligence)
เชาวน์ปัญญาในด้านนี้
การ์ดเนอร์ได้เพิ่มหลังจากที่ตีพิมพ์หนังสือ “Frames of Mind : The
Theory of Multiple Intelligences” แล้ว
แต่ก็ได้กล่าวถึงลักษณะของเชาวน์ปัญญาเหล่านี้ในภายหลังว่า
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
การจำแนกแยกแยะ จัดหมวดหมู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว บุคคลที่มีความสามารถทางนี้
มักเป็นผู้รักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ ตระหนักในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมรอบตัว
และมักจะชอบและสนใจสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
3.การประยุกต์ทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญากับการสอนในชั้นเรียน
ทิศนา
แขมมณี (2545 : 89 – 90) กล่าวว่า
การมองและเข้าใจเชาว์ปัญญาในความ หมายที่ต่างกัน
ย่อมก่อให้เกิดการกระทำที่แตกต่างกัน ทฤษฎีพหุปัญญา
ได้ขยายขอบเขตของความหมายของคำว่าปัญญาออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นจากเดิม
ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนขยายขอบเขตไปอย่างกว้างขวางเช่นกัน
แนวทางการนำทฤษฎีพหุปัญญามาใช้ในการเรียนการสอนมีหลากหลายดังนี้
1.เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ที่สามารถส่งเสริมเชาวน์ปัญญาหลายๆ ด้าน
มิใช่มุ่งพัฒนาแต่เพียงเชาวน์ปัญญาด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ดังเช่นในอดีต
เรามักจะมีการเน้นการพัฒนาด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์หรือด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
อันเป็นการพัฒนาสมองซีกซ้ายเป็นหลัก ทำให้ผู้เรียนไม่มีโอกาสพัฒนาเชาวน์ปัญญาด้านอื่น
ๆ เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เรียนที่มีเชาวน์ปัญญาด้านอื่นสูง
จะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนาในด้านที่ตนมีความสามารถหรือถนัดเป็นพิเศษ
การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของสติปัญญาหลาย ๆ ด้าน จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน
พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมอัจฉริยภาพหรือความสามารถเฉพาะตนของผู้เรียนไปในตัว
2.เนื่องจากผู้เรียนมีระดับพัฒนาการในเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เท่ากัน
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการในแต่ละด้านของผู้เรียน
ตัว อย่างเช่น
เด็กที่มีเชาวน์ปัญญาด้านดนตรีสูงจะพัฒนาปัญญาด้านดนตรีของตนไปอย่างรวดเร็ว
ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เด็กที่มีขั้นพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งสูง
ควรต้องแตกต่างไปจากเด็กที่มีขั้นพัฒนาการในด้านนั้นต่ำกว่า
3.เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
การผสมผสานของความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่เท่ากันนี้ ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์
(Uniqueness)
หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน และความแตกต่างที่หลากหลาย
(Diversity)
นี้
สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังนั้น กระบวนการคิดที่ว่าคนนี้โง่
หรือเก่งกว่าคนนั้นคนนี้จึงควรจะเปลี่ยนไป
การสอนควรเน้นการส่งเสริมความเป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียน
ครูควรสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนค้นหาเอกลักษณ์ของตน ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเอง
และเคารพในเอกลักษณ์ของผู้อื่น
รวมทั้งเห็นคุณค่าและเรียนรู้ที่จะใช้ความแตกต่างของแต่ละบุคคลให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
เช่นนี้ ผู้เรียนก็จะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง
ในขณะเดียวกันก็มีความเคารพในผู้อื่น และอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน
4.ระบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปจากแนวคิดเดิมที่ใช้การทดสอบเพื่อวัดความสามารถทางเชาวน์ปัญญาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
และที่สำคัญคือ ไม่สัมพันธ์กับบริบทที่แท้จริงที่ใช้ความสามารถนั้น ๆ ตามปกติ
วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดี ควรมีการประเมินหลาย ๆ ด้าน
และในแต่ละด้านควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น
ๆ การประเมินจะต้องครอบคลุมความสามารถในการแก้ปัญหา หรือการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้อุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น
อีกวิธีหนึ่งคือการให้เรียนอยู่ในสภาพการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้สติปัญญาหลายด้าน
หรือการให้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาหลาย ๆ ด้าน และสังเกตดูว่า
ผู้เรียนเลือกใช้เชาวน์ปัญญาด้านใด หรือศึกษาและใช้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านใด
มากเพียงไร
STEM
BBL (Brain-based Learning)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น